ด้วยความสำคัญของทรัพยากรน้ำต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ประกอบกับ
ซีพีเอฟตระหนักดีถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เราจึงให้ความสำคัญในการตั้งแต่การคัดเลือกสถานที่ตั้งของสถานประกอบการใหม่บนพื้นฐานการจัดการความเสี่ยงด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็นควบคู่ไปกับการวางแผนการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการออกแบบกระบวนการผลิตและเครื่องจักรที่ต้องคำนึงถึงความสมดุลของประสิทธิภาพในการผลิตร่วมกับการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่าอีกด้วย
โดยซีพีเอฟใช้น้ำในกระบวนการผลิต ตั้งแต่ ใช้ในหม้อต้มไอน้ำ (Steam Boiler) ในธุรกิจอาหารสัตว์ ใช้ในการเลี้ยงสัตว์และเป็นน้ำหล่อเย็นในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ในธุรกิจการเลี้ยงสัตว์และแปรรูป ใช้ในระบบทำความเย็น ระบบทำความสะอาดเครื่องมือและอุปกรณ์ในธุรกิจอาหาร เป็นต้น
บริษัทได้จัดตั้งให้มี คณะกรรมการบริหารด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน (SHE&En Committee) โดยมีประธานคณะผู้บริหารเป็นประธานคณะกรรมการฯ และผู้บริหารของทุกสายธุรกิจร่วมเป็นกรรมการ ได้มีการระบุเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักด้าน SHE&En ขององค์กร ได้มีนโยบายกำหนดเป้าหมายการนำน้ำมาใช้ต่อตันการผลิต บรรจุอยู่ในเป้าหมายด้าน SHE&En KPIs ประจำปี (เป้าหมายประจำปี) โดยเป้าหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายหลัก (เป้าหมายระยะยาว) ของการทำงานของสายธุรกิจ (Business’s Key Performance Indicators)
คณะกรรมการบริหารด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน มีการประชุมอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี เพื่อพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการด้าน SHE&En ติดตามและวัดผลการดำเนินงานตามนโยบายการบริหารจัดการน้ำที่กำหนดไว้ของแต่ละหน่วยธุรกิจ รวมทั้ง การพิจารณานวัตกรรมในการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากการบริหารจัดการด้านปริมาณน้ำที่ใช้ในการผลิตแล้ว บริษัทยังร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและชุมชนโดยรอบติดตามสถานการณ์ปริมาณและคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำจะเหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ตามวิถีชีวิตของชุมชน ตลอดจนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชน้ำเพื่อคงไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพ รวมไปถึงการสร้างแหล่งเก็บน้ำให้ได้ปริมาณมากขึ้นเพื่อใช้ในยามเกิดภัยแล้งและสามารถแบ่งปันให้กับชุมชนรอบสถานประกอบการ
การประเมินความเสี่ยงด้านน้ำ
ซีพีเอฟประเมินความเสี่ยงด้านน้ำเป็นประจำทุกปีบนพื้นฐานข้อมูลปริมาณการดึงน้ำมาใช้ในแต่ละหน่วยงานควบคู่กับภาวะขาดแคลนน้ำ (Baseline Water Stress) ของพื้นที่ลุ่มน้ำที่หน่วยงานของซีพีเอฟตั้งอยู่ครอบคลุมทุกหน่วยงานที่มีการดำเนินกิจการอยู่และกิจการใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย โดยใช้ Aqueduct Water Risk Atlas ซึ่งพัฒนาโดย World Resources Institute (WRI) ช่วยให้เราสามารถลำดับความสำคัญในการกำหนดแผนบริหารจัดการน้ำจากความเสี่ยงด้านน้ำในแต่ละหน่วยงานได้ดังนี้
เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของบริษัทมีความต่อเนื่องและยั่งยืน สามารถป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของบริษัท จึงกำหนดให้ทุกหน่วยงานจะต้องกำหนดมาตรการการจัดการน้ำของหน่วยงานให้สอดคล้องตามข้อกำหนดของมาตรฐานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน หรือ CPF SHE&En Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานที่บริษัทสร้างขึ้นเพื่อเป็นกลไกในการจัดการความเสี่ยงด้าน SHE&En ของบริษัท และสนับสนุนเป้าหมายสิ่งแวดล้อมยั่งยืน
นอกจากนี้ บริษัทยังสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนเพื่อรับฟังข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้น้ำ สนับสนุนจัดสรรบุคลากรเพื่อให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่คู่ค้าธุรกิจ ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตลอดจนจัดทำแผนรองรับความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำอีกด้วย การดำเนินงานทั้งหมดนี้ไม่เพียงจะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจทั้งของบริษัทและคู่ค้าธุรกิจ หากแต่ยังช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนโดยรอบในสภาวะภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
การประเมินฉากทัศน์และความอ่อนไหวด้านภาวะขาดแคลนน้ำ (Water stress)
ซีพีเอฟดำเนินการประเมินฉากทัศน์และความหวั่นไหวด้านภาวะขาดแคลนน้ำ เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำในอนาคตซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยใช้เครื่องมือ WRI Aqueduct Water Risk Atlas การประเมินครอบคลุม 3 ฉากทัศน์ ได้แก่ (“Optimistic”, “Business as Usual” และ “Pessimistic” หรือเทียบเท่ากับ SSP2 RCP4.5, SSP2 RCP 8.5 และ SSP3 RCP8.5 ตามลำดับ) และมีกรอบเวลาถึงปี 2573 และ ปี 2583 ผลการประเมินฉากทัศน์ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ดำเนินงานส่วนใหญ่ของซีพีเอฟในประเทศไทย อาจเผชิญความเครียดน้ำในระดับที่ใกล้เคียงหรือสูงขึ้นในทุกๆ ฉากทัศน์เมื่อเทียบกับปีฐาน มาตรการรองรับการขาดแคลนน้ำต่าง ๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
แม้ปัจจุบันซีพีเอฟมีการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านน้ำผ่านหลากหลายมาตรการ เช่น การขุดน้ำบาดาล การติดตั้งระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ และระบบกักเก็บน้ำฝน แต่หากเกิดภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง อาจส่งผลให้ธุรกิจจำเป็นต้องมีการซื้อน้ำจืดจากแหล่งอื่นๆ เพื่อรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ผลการศึกษาความอ่อนไหวของผลกระทบทางการเงินจากค่าน้ำที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ดำเนินงานที่เสี่ยงต่อภาวะขาดแคลนน้ำมีดังนี้
3 วัน |
1 สัปดาห์ |
2 สัปดาห์ |
3 สัปดาห์ |
4 สัปดาห์ |
|
ผลกระทบทางการเงินจากค่าใช้จ่ายด้านน้ำ (ล้านบาท) |
15 |
34 |
69 |
103 |
138 |
หมายเหตุ จำนวนสัปดาห์หมายถึงระยะเวลาที่จำเป็นต้องมีการซื้อน้ำจากแหล่งอื่นๆ เพื่อรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจในพื้นที่ดำเนินงานที่เสี่ยงต่อภาวะขาดแคลนน้ำทั้งหมด ค่าที่แสดงเป็นตัวเลขประมาณการจากค่าใช้จ่ายด้านน้ำที่เพิ่มขึ้น
การจัดการน้ำในกระบวนการผลิต
บริษัทให้ความสำคัญกับการใช้น้ำอย่างเหมาะสมในทุกขั้นตอนการผลิต จึงมีการดำเนินงานด้านการดูแลรักษาทรัพยากรน้ำตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมีระบบการจัดเก็บข้อมูลปริมาณการใช้น้ำ เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนควบคุมการใช้น้ำอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามา สนับสนุนตลอดกระบวนการเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำหรือเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำให้คุ้มค่ามากที่สุด โดยเฉพาะในธุรกิจการเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีการใช้น้ำในปริมาณที่มากกว่าธุรกิจอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิตลงร้อยละ 30 เทียบกับปีฐาน 2558 ภายในปี 2568 โดยมีโครงการที่เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรน้ำของบริษัท ดังนี้
การจัดการน้ำทิ้ง
ซีพีเอฟพยายามอย่างยิ่งในการพัฒนากระบวนการผลิตโดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดปริมาณน้ำเสียที่จะเกิดขึ้น และยังออกแบบระบบบำบัดน้ำเสียให้สามารถหมุนเวียนน้ำที่บำบัดแล้วให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น นำมาใช้รดน้ำต้นไม้ หรือในระบบระบายความร้อน นอกจากนี้ซีพีเอฟยังติดตามและตรวจสอบคุณภาพน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วโดยห้องปฏิบัติที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งให้เทียบเท่าหรือดีกว่ามาตรฐานตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนปล่อยออกสู่ภายนอก