มาตรฐานอาหารไทย ปลอดภัยระดับโลก
โดย เพ็ชร ชินบุตร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม
“อุตสาหกรรมอาหาร” เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในการพัฒนาของภาครัฐ เพราะเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานของประเทศในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารของไทยมีการใช้วัตถุดิบในประเทศ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 85 ที่เหลือเป็นการนำเข้า ดังนั้น การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารก็จะเป็นอานิสงค์โดยตรงกับเกษตรกรในประเทศผู้เป็นต้นน้ำของห่วงโซ่การผลิตให้เติบโตตามไปด้วย รวมถึงยังมีบทบาทเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งค้าปลีก ค้าส่ง ร้านอาหารและโรงแรม ให้ขยายตัวตามไปด้วยตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
ความสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารในเชิงตัวเลขเศรษฐกิจ ก็จะเห็นได้จาก
1.)สร้างมูลค่าเพิ่ม (GDP) ให้กับระบบเศรษฐกิจสูงที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรมทั้งหมดของไทย โดยมีสัดส่วน 23.2% ของ GDP ภาคอุตสาหกรรมการผลิต
2.) สร้างรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกสูงที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรมทั้งหมด โดยในปี 2557 คาดว่าการส่งออกอาหารของไทยจะมีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านบาท
3.) ผลประโยชน์จากรายได้ส่วนใหญ่ตกอยู่ภายในประเทศ โดยในปี 2557คาดว่าไทยจะได้ดุลการค้าอาหารมูลค่า 6.7 แสนล้านบาท ตัวเลขเกินดุลการค้าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมทั้งหมด
4.) มีจำนวนสถานประกอบการมากที่สุด ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารมีจำนวนสถานประกอบการกว่า 1 แสนราย หรือ 26% ของอุตสาหกรรมการผลิต (นับรวมผู้ผลิตขนาดเล็กที่ไม่ใช่โรงงานด้วย)
5.) มีการจ้างงานสูงที่สุดในอุตสาหกรรมทั้งหมด ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารมีการจ้างงานประมาณ 8 แสนราย หรือ 20% ของอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งในจำนวนนี้จำแนกเป็นแรงงานมีทักษะมากกว่าแรงงานไร้ทักษะคิดเป็นสัดส่วน 54% ต่อ 46% โดยประมาณ
เมื่ออุตสาหกรรมอาหารมีความสำคัญขนาดนี้ อุตสาหกรรมนี้ก็ควรได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้เติบโตขยายตัวก้าวไกลไปในเวทีโลก ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีองค์ประกอบหลายด้าน ส่วนหนึ่งคือการสนับสนุนจากภาครัฐที่จำเป็นต้องมีนโยบายลดอุปสรรคที่เป็นข้อจำกัด รวมทั้ง ต้องมีมาตรการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวให้ทันกับกระแสของการบริโภคในอนาคต โดยมีประเด็นสำคัญคือ
1.) ส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดต้นทุนให้ราคาสินค้าแข่งขันในตลาดโลกได้ เนื่องจากต้นทุนของอุตสาหกรรมอาหารส่วนใหญ่มาจากวัตถุดิบซึ่งมีราคาสูงมาตั้งแต่ระดับเกษตรกรต้นน้ำ
2.)ส่งเสริมการสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับสินค้า (Value creation) มิได้มีความหมายเฉพาะนำสินค้าเกษตรมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเท่านั้น แต่การสร้างคุณค่าเพิ่มที่ทำให้อาหารสามารถตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนมากกว่าโภชนาการ ไม่ว่าจะเป็นคุณประโยชน์ด้านสุขภาพ ด้านอารมณ์/ความรู้สึกดีที่ได้บริโภค ความสะดวก การคำนึงสิ่งแวดล้อม การแสดงความเป็นตัวตนที่เฉพาะเจาะจง ต้องค้นหากระบวนการพัฒนาตัวสินค้าเพื่อให้ได้สินค้าที่มีความแตกต่างเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
3.) ส่งเสริมการเจาะตลาดแบบมีกลยุทธ์และตรงใจลูกค้า กลยุทธ์นี้เน้นการทำความเข้าใจตลาดในเชิงลึกเพื่อรู้จักผู้บริโภคให้มากขึ้น รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์สินค้าไทยให้ผู้บริโภครู้จักและเชื่อมั่นในสินค้าไทย
4.) พัฒนาผู้ประกอบการเข้าสู่มาตรฐานและรักษาคุณภาพสินค้าให้เทียบเท่าสากล แนวทางนี้จะเน้นในด้านการพัฒนาด้านความปลอดภัยอาหาร (Food safety) ให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และเป็นใบเบิกทางในการเจาะตลาดอาหารโลกที่นับวันกฎระเบียบมาตรฐานอาหารโลกจะเพิ่มขึ้นความเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ
5.) เตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่การแข่งขันในยุคดิจิตัล โดยใช้การสื่อสารบนโลกออนไลน์ให้เป็นประโยชน์แก่ธุรกิจมากขึ้น และเข้าถึงลูกค้าอย่างใกล้ชิด จะเป็นการเปิดตลาดแบบไร้ข้อจำกัด ผู้ประกอบการขนาดเล็กก็สามารถเติบโตได้โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรสูง
ทั้งนี้ เพราะในตลาดอาหารโลกนั้น มีประเทศผู้ผลิตสินค้าอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก และไม่มีรายใดมีอิทธิพลเหนือตลาดอย่างชัดเจน (ในระดับภาพรวมทุกสินค้า) ราคาจำหน่ายสินค้าจึงถูกกำหนดโดยตลาด ขณะเดียวกันตลาดโลกก็เข้าสู่ยุคการค้าเสรี สินค้าและปัจจัยการผลิต สามารถเคลื่อนย้ายได้เสรีมากขึ้น จึงมีสินค้าที่ผลิตได้เหมือนๆ กันออกสู่ตลาด ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร มีส่วนเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลไปสู่ผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าทดแทนได้ง่าย เมื่อผนวกกับพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ ต่อการกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมอาหารโลกในอนาคต ก็พบว่า ความต้องการอาหารของผู้บริโภคยุคใหม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน และมีความซับซ้อนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความต้องการอาหารเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย มีความซับซ้อนมากขึ้นเพียงใด แต่คุณค่าทางโภชนาการและความปลอดภัยของอาหารยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่ไม่เคยล้าสมัย เห็นได้จากกฎระเบียบมาตรฐานอาหารของแต่ละประเทศโดยเฉพาะประเทศพัฒนา นับวันมีแต่จะเพิ่มความเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งผู้ผลิตที่อยู่ในวงจรการค้าโลกจำเป็นต้องก้าวให้ทันกับมาตรฐานความปลอดภัยดังกล่าว
สำหรับประเทศไทยมีการนำระบบมาตรฐาน ทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัยที่อ้างอิงมาตรฐานขององค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ มาตรฐานโคเด็กซ์, องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) และอนุสัญญาอารักขาพืชระหว่างประเทศ (IPPC) มาประยุกต์ใช้ตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร ตั้งแต่การนำเข้า การผลิตวัตถุดิบระดับฟาร์ม การผลิตและการแปรรูประดับโรงงาน การบรรจุ การเก็บรักษา และการจัดจำหน่าย จนกระทั่งถึงผู้บริโภคขั้นสุดท้าย ดังนั้น หากถามว่ามาตรฐานความปลอดภัยในอาหารไทยอยู่ในระดับไหน ก็ตอบได้อย่างมั่นใจว่า “มาตรฐานความปลอดภัยในอาหารของไทยนั้นอยู่ในระดับคุณภาพมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของคู่ค้าทั่วโลกไม่แพ้ชาติใด”
ไม่ว่าการแข่งขันในเวทีโลกจะเข้มข้นหนักหน่วงอย่างไร แต่ภาคเอกชนของไทยก็มีขีดความสามารถสูงมาก สามารถตอบสนองมาตรฐานต่างๆที่ประเทศคู่ค้านำมาบังคับใช้ได้อย่างรวดเร็วและก้าวหน้ามากกว่าหลายประเทศในอาเซียน แม้ว่ามาตรฐานนั้นจะมีข้อกำหนดที่เข้มงวดสูงก็ตาม ซึ่งหากพิจารณาที่ตัวเลขการส่งออกอาหารของไทยในปี 2557 จะพบว่าไทยส่งออกอาหารปริมาณสูงถึง 1,010,000,000,000 บาท ซึ่งอาหารส่งออกเหล่านี้แน่นอนว่าจะต้องผ่านการผลิตที่ได้มาตรฐานทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัยสอดคล้องกับข้อกำหนดของประเทศคู่ค้าและหากพิจารณาประเทศคู่ค้าหลักๆของไทยที่ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบัน ต้องมีชื่อของ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งขึ้นชื่อในด้านการกำหนดกฎระเบียบและมาตรการการนำเข้าที่เข้มงวด เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่าสินค้าอาหารนำเข้านั้นมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคในประเทศของตนอย่างแท้จริง เป็นการการันตีมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารของบ้านเราได้เป็นอย่างดี
เมื่อเกษตรกรและผู้ผลิตบ้านเรามีขีดความสามารถในการประยุกต์ใช้ระบบคุณภาพและมาตรฐาน ความปลอดภัยระดับสากล ตั้งแต่ฟาร์มจนกระทั่งถึงโต๊ะผู้บริโภคในประเทศ ตลอดจนสินค้าอาหารส่งออก ที่ผู้ผลิตของไทยเรามีความสามารถในการประยุกต์ใช้ระบบมาตรฐานที่มีความเข้มงวดในระดับสูง เช่น มาตรฐาน BRC, IFS และ FSSC 22000 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเป็นที่ยอมรับของประเทศคู่ค้า เช่น สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นเช่นนี้ .... เราเองในฐานะคนไทยก็สามารถที่จะวางใจได้ว่า อาหารการกินในบ้านเรานั้นมีมาตรฐานความปลอดภัย ต่อการบริโภคไม่แพ้ชาติใดในโลก./
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต