![ซีพีเอฟ โชว์ยอดขายครึ่งปีแรกกว่า 245 แสนล้านบาท เติบโตตามเป้า 10% ซีพีเอฟ โชว์ยอดขายครึ่งปีแรกกว่า 245 แสนล้านบาท เติบโตตามเป้า 10%](/storage/news/j0cxawmpjbqk9hct2t6vjnbucryv3fgdofhhayt4.jpg)
![](https://www.cpfworldwide.com/images/media_center/media_white.png)
ซีพีเอฟ รายงานผลการดำเนินงานในครึ่งแรกปี 2560 ว่า บริษัทฯ มียอดขาย 245,587 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 10% เป็นไปตามเป้า มีกำไรสุทธิ 8,020 ล้านบาท พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.50บาทต่อหุ้น คาดแนวโน้มผลดำเนินงานครึ่งหลังปี 60 จะดีกว่าครึ่งปีแรก และจะดีขึ้นต่อเนื่องไปถึงปี 2561
คุณอดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวถึงสถานการณ์ธุรกิจในไตรมาส 2/60 ที่ผ่านมาว่า กิจการของบริษัทส่วนใหญ่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยธุรกิจสัตว์น้ำมีการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง การส่งออกสินค้าเนื้อไก่จากประเทศไทยเพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจสุกรมีผลกระทบจากภาวะราคาทั้งภูมิภาคเอเซียได้ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากจากปีก่อนจากภาวะผลผลิตล้นตลาด จนมีผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในเวียดนาม กัมพูชาและไทย เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากราคามีการปรับตัวสูงในช่วงนี้
ส่วนกิจการในต่างประเทศส่วนใหญ่มีอัตราการเติบโตที่ดี เช่น ประเทศจีน ประเทศรัสเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะประเทศตุรกี พลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไร หลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่
คุณอดิเรก กล่าวต่อไปว่า การเติบโตของ ซีพีเอฟ ในช่วงครึ่งปีแรกส่วนหนึ่งมาจากการควบรวมธุรกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะการซื้อกิจการ Bellisio ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปลายปี 2559 ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายของธุรกิจอาหารขยายตัวขึ้นเป็นร้อยละ 18 เติบโตจากปีก่อนหน้าที่สัดส่วนเพียงร้อยละ 12 ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์มีผลดำเนินงานที่ดี ได้รับผลดีจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลกอยู่ในระดับที่ต่ำ ส่วนในประเทศไทยราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงกว่าตลาดโลกเนื่องจาก มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐที่กำหนดราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อยู่ที่ 8 บาท
สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ คาดว่าแนวโน้มราคาสุกรจะปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรก ส่งผลให้ผลดำเนินงานในครึ่งหลังปี 2560 จะดีกว่าครึ่งแรก และผลดำเนินงานจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงปี 2561 โดยต้องติดตามทิศทางราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลก
ด้านคุณสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) ธุรกิจเก กล่าวว่า ธุรกิจสุกรของซีพีเอฟในไทยมีสัดส่วนใหญ่ มีผลผลิต 12-13 ล้านตันต่อปี รวมถึงธุรกิจสุกรในเวียดนาม ราคาหมูในช่วงขาลงจึงมีผลกระทบต่อผลประกอบการโดยรวม ประกอบกับเวียดนามเปิดด่านการค้าชายแดนจีน-เวียดนาม ทำให้หมูในเวียดนามมีปัญหาล้นตลาด
ทิศทางราคาสุกรในเวียดนามอ่อนตัวลงมากถึง 30-40% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเวียดนามส่งเสริมให้คนเวียดนามบริโภคหมูเพิ่มขึ้น และมีการชำแหละหมูเก็บในห้องเย็นเพื่อลดซัพพลายในตลาด คาดว่าปัญหาราคาสุกรในเวียดนามจะคลี่คลายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ แต่ยังจะทยอยขึ้นเป็นไปอย่างช้าๆ เพราะยังมีผลผลิตเกินความต้องการอยู่ในตลาด และจะฟื้นตัวขึ้นในปีหน้า
“จากสถานการณ์ราคาสุกรที่ตกต่ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเวียดนามจะส่งผลให้ผู้เลี้ยงสุกรส่วนหนึ่งหายไปจากธุรกิจ เพราะผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยแบกรับภาวะขาดทุนต่อเนื่องไม่ไหว ในขณะที่ ซี.พี.เวียดนาม มีจุดแข็งเรื่องประสิทธิภาพและสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตสุกรได้ดี ซึ่งมีส่วนช่วยให้บริษัทได้รับผลบวกจากราคาสุกรในเวียดนามที่เริ่มฟื้นตัว และสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว” คุณสุขสันต์ กล่าว
ในส่วนของธุรกิจสัตว์น้ำ น.สพ.สุจินต์ ธรรมศาสตร์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการ สายธุรกิจสัตว์น้ำ กล่าวว่า ซีพีเอฟ สามารถค้นพบวิธีแก้ปัญหาโรคตายด่วน (EMS) ได้แล้ว จากการปรับปรุงพันธุ์กุ้งที่แข็งแรงทนโรค และแนวทางการจัดการในการเพาะเลี้ยงที่ ส่งผลดีเลี้ยงกุ้งและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ ซีพีเอฟสามารถรับมือกับโรคกุ้งใหม่ๆ เช่น โรคขี้ขาว ได้ดีขึ้น
ขณะนี้ ซีพีเอฟยังได้พัฒนาปรับปรุงพันธุ์กุ้งให้สามารถทนทานต่อโรคได้ดีขึ้น ช่วยลดความเสียหายได้ถึง 10% ขณะเดียวกันยังได้คิดค้นนวัตกรรมการเลี้ยงด้วยวิธีการจัดการบ่อสมัยใหม่ เดิมจากบ่อเลี้ยงขนาดใหญ่ บ่อละ 5-6 ไร่ ปรับมาเป็นขนาดบ่อละ 1-2 ไร่ และให้ความสำคัญกับความสะอาดของน้ำเพื่อป้องกันโรคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ธุรกิจกุ้งในประเทศไทยฟื้นตัวได้ดีมาก แต่ในปีนี้ปริมาณผลิตยังเพิ่มไม่มาก เนื่องจากปริมาณฝนที่ค่อนข้างมาก ทำให้กระทบกับการเตรียมบ่อและรอบการเลี้ยงลดลง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ราคากุ้งค่อนข้างดี เพราะมีล้งจีนมาช่วยรับซื้ออย่างต่อเนื่อง คาดว่าผลผลิตกุ้งของ ซีพีเอฟ ในปี 2560 นี้ จะอยู่ที่ประมาณ 25,000 – 30,000 ตัน ไม่ขยายตัวเพิ่มแต่ให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพการเลี้ยง
ซีพีเอฟได้นำความสำเร็จในการจัดการปัญหาโรค EMS ที่เวียดนามช่วยให้ธุรกิจกุ้งในเวียดนามสามารถฟื้นตัวกลับมามีกำไร ขณะที่ธุรกิจกุ้งในอินเดีย ขยายตัวดี ปัจจุบัน อินเดียผลิตกุ้งได้มากที่สุดในโลกที่ 500,000 ตัน และเป็นประเทศส่งออกอันดับแรกส่งกุ้งไปสหรัฐอเมริกา
ด้านคุณสุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจอาหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) กล่าวว่า แนวโน้มผู้บริโภคในปัจจุบัน นอกจากให้ความสำคัญกับคุณภาพ และรสชาติแล้ว ยังเน้นเรื่องสุขภาพ มีชีวิตที่ยั่งยืน ห่างไกลโรค ซีพีเอฟได้ก้าวสู่อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารผู้ป่วย อาหารสำหรับคนสูงวัย ซึ่งมีการพัฒนาจากศูนย์พัฒนา R&D ด้านอาหารของซีพีเอฟ และสร้างโรงงานที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางสหประชาชาติ กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 30 เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสุขภาพของประชากรโลก ที่ผ่านมา ซีพีเอฟ ได้ทยอยออกอาหารเพื่อสุขภาพ ทั้งในกลุ่มสมาร์ทมีล ดีไลท์ และซีพีบาลานซ์ รองรับผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น และจะก้าวไปสู่ การผลิตอาหารเป็นยา
คุณสุขวัฒน์ยังกล่าวต่อว่า บริษัทฯ ยังเดินหน้าสร้างการเติบโตธุรกิจอาหาร เพิ่มสัดส่วนธุรกิจของอาหารขยายตัวมากกว่า 18% และจากการไปซื้อกิจการ Bellisio ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปในสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่ง เนื่องจาก สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมอาหาร และเป็นผู้นำแนวโน้มอาหารของโลก การซื้อกิจการในสหรัฐอเมริกาช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจอาหารของซีพีเอฟเติบโต และก้าวทันความทันสมัยของอาหารโลก
ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา Bellisio รายงาน EBITDA เติบโตที่ดี ซีพีเอฟยังเดินหน้าสร้างแบรนด์ และขยายจุดขายเพิ่มขึ้นจาก 50,000 จุดเป็น 6-70,000 จุดภายในสิ้นปีนี้ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการศึกษาตลาด พบว่ายังมีช่องว่างราคาที่เป็นโอกาส จึงเป็นที่มาของการออกสินค้าใหม่ So Right ที่มีราคา 1.7 เหรียญสหรัฐต่อหน่วย ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีมาก เพราะเข้ามาเสริมตลาดอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งในราคา 1.5-2 เหรียญสหรัฐ
![สจล. – ซีพีเอฟ บูรณาการความร่วมมือพัฒนาคนรุ่นใหม่ สร้างนวัตกรรมรับการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหาร](https://www.cpfworldwide.com/storage/news/KMTILxCPF Thumb_1719580288.jpg)
Tag:
#STEM