บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ แนะนำเทคนิคการเลี้ยงสัตว์ในฤดูร้อนรับมือภัยแล้ง เพื่อให้เกษตรกรได้ปรับวิธีการเลี้ยงและเสริมเทคนิคให้สอดคล้องกับสภาพอากาศ ช่วยลดความเสี่ยง-ลดความเสียหายของฝูงสัตว์
น.สพ.นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ศูนย์วินิจฉัยโรคสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า สถานการณ์แล้งรุนแรงและยาวนาน และจะเกิดสภาวะอากาศร้อนจัดมากกว่าปีก่อนๆ บางพื้นที่อุณหภูมิจะสูงถึง 40-43 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้น เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์จึงต้องเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยการดูแลความเป็นอยู่ของสัตว์ให้เหมาะสม สำหรับการเลี้ยงสุกร ต้องสำรองน้ำกิน-น้ำใช้ให้เพียงพอ ในฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์ที่เลี้ยงในระบบอีแวป จะต้องใช้น้ำทั้งกินและใช้เฉลี่ยวันละ 130 ลิตรต่อตัว ช่วงอากาศร้อนจัดอาจต้องขังน้ำในรางอาหาร ส่วนฟาร์มสุกรขุนกินและใช้น้ำเฉลี่ยวันละ 40 ลิตรต่อตัว ควรเพิ่มรางน้ำให้สุกรกินอย่างเพียงพอและสะดวก ในโรงเรือนที่มีส้วมน้ำด้านท้ายคอกควรขังน้ำให้พอดี
ส่วนไก่เนื้อและไก่ไข่ ปกติจะต้องกินน้ำอย่างน้อย 2 เท่าของปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวัน หากขาดน้ำเกินร้อยละ 20 ไก่จะกินอาหารลดลง เกิดภาวะเครียด อัตราการเจริญเติบโตต่ำ ผลผลิตและภูมิคุ้มกันโรคลด มีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่าย กรณีที่ไก่ได้รับน้ำไม่เพียงพอสังเกตได้จากอาการที่แสดงออก เช่น อาการซึม แข้งไก่มีลักษณะแห้งจากสภาพแห้งน้ำ และหากไก่สูญเสียน้ำไปกว่า 1 ใน 10 ส่วนของน้ำที่มีอยู่ในร่างกาย จะทำให้ไก่ตายได้
นอกจากนี้ เกษตรกรต้องใส่ใจกับคุณภาพน้ำด้วย โดยทั่วไปน้ำที่ดีควรเป็นน้ำบาดาล หากจำเป็นต้องใช้น้ำผิวดินควรปรับคุณภาพน้ำก่อน หากน้ำขุ่นควรใช้สารส้ม 1 กรัม ต่อน้ำ 100 ลิตร แกว่งน้ำให้ตกตะกอนก่อน และใช้คลอรีนฆ่าเชื้อโรคที่ความเข้มข้น 3 - 5 ppm. (คลอรีน 3-5 ลิตร ต่อน้ำ 1 ล้านลิตร) จะช่วยป้องกันอาการท้องเสียในสัตว์ได้ ควบคู่กับการป้องกันโรคและสัตว์พาหะ ทั้งนก หนู แมลง ยุง และต้องเน้นการเปลี่ยนรองเท้าก่อนเข้าโรงเรือนเลี้ยงสัตว์แต่ละหลัง
“แม้ทุกวันนี้เกษตรกรส่วนใหญ่จะหันมาใช้โรงเรือนอีแวปก็ตาม แต่ในช่วงที่อากาศร้อนจัดมีผลต่อการปรับอากาศของระบบทำความเย็น เกษตรกรต้องหมั่นตรวจตราอย่าให้มีรอยรั่วที่อากาศร้อนจากภายนอกจะผ่านเข้ามาได้ สามารถเพิ่มการสเปรย์น้ำในโรงเรือนเพื่อลดอุณหภูมิลง แต่ต้องระวังอย่าให้พื้นแฉะและมีกลิ่นก๊าซแอมโมเนียเพราะจะทำให้สัตว์ยิ่งเครียดมากขึ้น ควรผสมวิตามินละลายน้ำให้สัตว์กิน 3-5 วันติดต่อกัน เพื่อลดความเครียด” น.สพ.นรินทร์ กล่าว
ด้าน นายอดิศร์ กฤษณวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักพัฒนาธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ แนะนำวิธีการเลี้ยงปลาเพื่อลดความเสียหายแก่เกษตรกรว่า ไม่ควรเลี้ยงปลาหนาแน่นจนเกินไป อาจลดอัตราการปล่อยปลาลงจากปกติประมาณ 30% เพื่อให้ปลาอยู่สบายขึ้น เพราะอากาศร้อนจะทำให้การละลายน้ำได้ของอ๊อกซิเจนลดลง และควรปรับสภาพแวดล้อมต่างๆ ให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของปลา เช่น การทำร่มเงาด้วยสแลนบังแดด 60-70% คลุมเหนือกระชังหรือบ่อเลี้ยง เพื่อช่วยควบคุมทั้งอุณหภูมิน้ำและลดความเครียดจากแสงที่มากเกินไป ที่จะทำให้ปลากินอาหารลดลง โตช้า และป่วยได้
ส่วนการเลี้ยงปลาในบ่อต้องควบคุมคุณภาพน้ำ ปรับสภาพให้น้ำลึกไม่ต่ำกว่า 1.8 เมตร วัดค่าความขุ่นใสให้ได้ 40-50 ซม. และต้องวัดค่า DO บ่อยครั้งขึ้น เพราะน้ำที่อุณหภูมิสูงขึ้นออกซิเจนที่ละลายในน้ำจะลดลง และเปิดเครื่องตีน้ำในช่วงกลางวัดด้วย ส่วนการเลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำที่มักพบปัญหาปริมาณของน้ำลดลงมาก ควรลงเลี้ยงปลาให้บางลงสัก30% ถ้าเป็นไปได้ต้ควรย้ายกระชังลงไปในบริเวณน้ำลึกขึ้น รวมทั้งต้องมีระบบป้องกันโดยการทำความสะอาดกระชังบ่อยครั้งขึ้นเนื่องจากฤดูร้อนพาราไซต์และแบคทีเรียจะเติบโตรวดเร็ว และควรกำจัดวัชพืชน้ำและสาหร่ายไม่ให้เกาะกระชัง ช่วยลดการกีดขวางการไหลของน้ำผ่านกระชังที่จะทำให้ออกซิเจนในกระชังต่ำลง หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาพน้ำให้ผสมวิตามินซีในอาหารให้ปลากินติดต่อกัน 3-5 วัน ควรหมั่นสังเกตการกินอาหารของปลาอย่าให้เหลือเกินกว่า 5 นาที เปลี่ยนมาให้อาหารในช่วงที่อากาศไม่ร้อนจัด โดยอาจแบ่งการให้อาหารเป็น 5–6 มื้อต่อวัน เพื่อกระตุ้นการกิน
“เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาทั้งกระชังในแม่น้ำและการเลี้ยงในบ่อ ควรติดตั้งเครื่องตีน้ำเพื่อช่วยเติมอากาศในน้ำโดยเฉพาะช่วงที่อากาศร้อนจัดในเวลากลางวัน ควรเปิดตลอดเวลาเพื่อให้น้ำผสมกัน ไม่เกิดการแบ่งชั้นของน้ำ เพื่อช่วยให้อุณหภูมิน้ำไม่สูงเกินไป และต้องหมั่นตรวจสุขภาพปลาด้วยการสุ่มตรวจพาราไซต์ทุกสัปดาห์ และใช้แบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ให้เหมาะสม โดยวัดจากค่าแอมโมเนียรวมที่ละลายน้ำไม่ควรเกิน 0.5 PPM” นายอดิศร์ กล่าว