บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นผลิตอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานคุณภาพพรีเมี่ยมได้มาตรฐานระดับโลก ตอบโจทย์ความต้องการและสร้างทางเลือกใหม่แก่ผู้บริโภค พร้อมโชว์เทคโนโลยีกระบวนการผลิตทันสมัย ยกระดับมาตรการป้องกันโรค ความปลอดภัยด้านอาหาร ตลอดห่วงโซ่การผลิต
นายณฤกษ์ มางเขียว รองกรรมการผู้จัดการบริหาร สายธุรกิจอาหารสำเร็จรูป ซีพีเอฟ กล่าวว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานของซีพีเอฟ แบ่งเป็นประเภทอาหารแช่แข็งและอาหารแช่เย็น ภายใต้สินค้าแบรนด์ CP ประกอบไปด้วยแบรนด์ BKP Kitchen Joy และแบรนด์สินค้าอื่นๆ ภายใต้ร้านสะดวกซื้อ 7-11 เช่น Ezy Choice และ Ezy GO โดยผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานของซีพีเอฟ จัดจำหน่ายครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ ในปีที่ผ่านมามีปริมาณขายรวม 116 ล้านกล่องต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,040 ล้านบาท โดยในประเทศมีสัดส่วนยอดขายประมาณ 80% และต่างประเทศมีสัดส่วนยอดขายประมาณ 20%
จุดเด่นของอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานซีพีเอฟ คือเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารที่ใส่ใจทุกขั้นตอน โดยเริ่มจากการสรรหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ร่วมกับการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการควบคุมด้วยระบบมาตรฐานต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น มาตรฐาน GMP HACCP ISO9001 และ BRC (British Retail Consortium) ที่เป็นมาตรฐานระดับสากลในการใช้ควบคุมสำหรับการส่งออกต่างประเทศ และยังนำมาประยุกต์ใช้ในการผลิตอาหารเพื่อให้ได้คุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต
ด้วยวงจรการผลิตคุณภาพของซีพีเอฟ ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบที่ต้องสด สะอาด ปราศจากสารเคมีตกค้าง โดยเริ่มตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ผ่านเครื่องล้างผักเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม ตัดแต่งผักโดยใช้เครื่องจักร สำหรับสายการผลิตสินค้าต่างประเทศ ในส่วนของกับข้าว วัตถุดิบทั้งหมดจะถูกนำไปผ่านกระบวนการปรุงสุก บรรจุด้วยระบบอัตโนมัติผ่านเครื่องชั่งบรรจุเนื้อ ลำเลียงสู่เครื่องบรรจุผัก บรรจุน้ำแกง ส่วนของข้าวจะมีการชั่งตวงและบรรจุน้ำซึ่งควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติทั้งหมด จากนั้นข้าวและกับข้าวจะผ่านกระบวนการทำให้สุกพร้อมกัน ส่วนสายการผลิตสินค้าภายในประเทศ เริ่มจากการแยกถาดลำเลียงเข้าเครื่องบรรจุข้าวอัตโนมัติ บรรจุและชั่งส่วนประกอบต่างๆ เพื่อให้ได้น้ำหนักตามที่กำหนด จากนั้นทั้งสองสายการผลิตจะเข้าสู่การลดอุณหภูมิทันที ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยเครื่อง IQF เพื่อให้อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ผ่านเครื่องปิดผนึกและมีการตรวจสอบด้วยเครื่องตรวจจับโลหะและเครื่อง x-ray เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่อาจปะปนเข้ามาในอาหาร และบรรจุสินค้าลงกล่อง ลำเลียงเข้าห้องจัดเรียงสินค้าโดยใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติ
แม้ในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ซีพีเอฟยกระดับมาตรการป้องกัน การควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะขั้นตอนการให้ความร้อนเพื่อทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค โดยทุกผลิตภัณฑ์ต้องมีอุณหภูมิหลังผ่านความร้อนมากกว่า 73 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นจุดควบคุมพิเศษที่เป็นการการันตีว่าสามารถฆ่าเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคได้ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีกรมปศุสัตว์ที่จะควบคุมดูแลในทุกขั้นตอนการผลิตภายในโรงงาน มีการตรวจสอบและสุ่มตรวจทุก 1 ชั่วโมงว่าความสามารถในการทำความร้อนของเครื่องจักรและผลิตภัณฑ์ยังเป็นไปตามเกณฑ์ที่กรมปศุสัตว์กำหนด
“ทุกขั้นตอนผ่านการผลิตจากเทคโนโลยีการผลิตอาหารขั้นสูงแบบอัตโนมัติเป็นที่ยอมรับในระดับสากลเพื่อรักษาคุณภาพอาหารได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังช่วยถนอมรสชาติและคุณภาพของอาหารให้เสมือนพึ่งปรุงสุกใหม่จนถึงมือผู้บริโภค” นายณฤกษ์กล่าวทิ้งท้าย