เป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทย เมื่อกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา จัดอันดับประเทศไทยดีขึ้นมาอยู่ใน Tier 2 จากการประเมินในรายงานสถานการณการค้ามนุษย์ประจำปี 2561 (TIP Report 2018) ด้วยรัฐบาลไทยแสดงให้เห็นถึงความพยายามเพิ่มมากขึ้น และมีความพยายามที่จะทำให้ได้มาตรฐาน จากเดิมที่ถูกจัดอยู่ในเทียร์ 2 ต้องเฝ้าระวัง (Tier 2 Watch List) เมื่อปีที่แล้ว
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยให้ความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบ ทั้งในด้านการบังคับใช้กฎหมาย การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด การคุ้มครองดูแลผู้เสียหาย และการป้องกันการตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ องค์กรอิสระและภาคประชาชน ต่างตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันการค้ามนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง
"ศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา" หรือ Fishermen's Life Enhancement Center(FLEC) เป็นหนึ่งในความร่วมมือระหว่างภาครัฐ องค์กรอิสระและภาคเอกชน ที่แสดงให้เห็นถึงความพยายาม เพื่อแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานผิดกฎหมายเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
ศูนย์ฯตั้งขึ้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2559 เกิดจากความร่วมมือของ 5 หน่วยงานหลัก คือ องค์การสะพานปลา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา (บ้านสุขสันต์) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานภาคประมงที่ถูกกฎหมาย รวมไปถึงคุณภาพชีวิตของครอบครัวแรงงาน
ภายในศูนย์ฯ มีการจัดการอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย ห้องเรียนสำหรับลูกหลานของแรงงานต่างชาติ ห้องพยาบาล ห้องละหมาด และห้องเอนกประสงค์ซึ่งรวมถึงศูนย์ติดต่อประสานงาน ห้องประชุมและห้องสมุด สิ่งจำเป็นที่ได้รับการจัดไว้ในพื้นที่บริเวณศูนย์ฯ เพื่อให้การดำเนินการให้ความช่วยเหลือแรงงานประมง ป้องกันการใช้แรงงานที่ผิดกฎหมาย และเป็นศูนย์ประสานงานรับแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของแรงงานที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม รวมทั้งมีการจัดการเรียนการสอนเพื่อเสริมทักษะในการใช้ชีวิตในเมืองไทยให้บุตรหลานแรงงาน เพื่อลดปัญหาการละเมิดสิทธิเด็ก และป้องกันเด็กเข้าสู่ระบบการจ้างงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย
"นายโบรา เหี้ยง" วัย 28 ปี ชาวกัมพูชา ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านภาษากัมพูชา กล่าวว่า ตั้งแต่เปิดศูนย์ฯ รับผิดชอบการให้ความรู้ในกลุ่มแรงงานที่เป็นลูกเรือประมง โดยจัดอบรมบนเรือหรือบริเวณท่าจอดเรือ (เมื่อเรือประมงเข้ามาเทียบท่า) และให้ความรู้ในกลุ่มแรงงานประมงต่อเนื่อง ในเรื่องสิทธิแรงงานและกฎหมาย ความปลอดภัยในการทำงานบนเรือ สุขภาพ วิธีการใช้ยารักษาโรคเบื้องต้น ทางเลือกในการลดรายจ่ายในครัวเรือน
"แรงงานมักจะสนใจสอบถามเกี่ยวกับเรื่องค่าจ้างแรงงาน และอยากรู้แนวทางการแก้ปัญหาของศูนย์ฯในปัญหาต่างๆของแรงงาน ซึ่งศูนย์ฯ จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาปัญหาให้กับแรงงาน ควบคู่ไปกับการอบรมความรู้จำเป็น" โบรา กล่าว
เมื่อว่างจากการลงพื้นที่ "โบรา" ต้องรับบทบาทเป็นครูสอนภาษากัมพูชาให้แก่เด็กๆ เพราะลูกหลานแรงงานบางคนที่ติดตามมา ไม่สามารถสื่อสารอ่านและฟังภาษากัมพูชาได้เลย โบรา เล่าต่อว่า เกือบ 3 ปีที่ทำงานในศูนย์ FLEC เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของแรงงานในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะศูนย์จะเป็นที่ปรึกษาปัญหาและให้คำแนะนำที่ถูกต้อง แรงงานมีความเข้มแข็งมากขึ้น สามารถเข้าไปคุยกับนายจ้างได้กรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
เด็กๆที่เป็นลูกหลานแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือเหมือนเด็กทั่วไป ก็ได้รับโอกาสทางการศึกษาจากการที่ศูนย์ฯจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อให้เด็กๆสามารถฟังและพูดภาษาไทยได้ซึ่งในช่วงเกือบ 3 ปี ที่ศูนย์ฯเริ่มดำเนินการ มีการให้บริการ เด็กมากกว่า 50 คนต่อปี ครูผู้สอนมีการประเมินเด็กนักเรียน พบว่าเด็กที่ได้รับการประเมิน ร้อยละ 91 มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ผ่านเกณฑ์การประเมินที่กำหนด และมีกลุ่มของเด็กที่สามารถส่งเข้าเรียนในระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนของรัฐได้ 7 คน
"ครูตี" หรือ น.ส.พาตีเมาะ หะแว อายุ 29 ปี ครูสอนภาษาไทยให้เด็กๆ เล่าว่า เธอรับหน้าที่สอนภาษาไทยให้เด็กสามารถสื่อสารฟังและพูดภาษาไทยได้ รวมทั้งเตรียมความพร้อมเด็กก่อนเข้าเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนรัฐบาล โดยในช่วงแรกๆ พบว่าพฤติกรรมของเด็กส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีสัมมาคารวะ ก้าวร้าว แต่หลังจากที่ได้รับการสอนแล้ว เด็กๆมีพัฒนาการดีขึ้น รู้จักกาละเทศะ
ครูตี เล่าอีกว่า แรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเป็นในทิศทางที่ดีขึ้น เปิดศูนย์ช่วงแรกๆ แรงงานยังไม่มั่นใจเข้ามาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯมากนัก แต่ปัจจุบันแรงงานจะเดินมาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ กล้าเข้ามาใช้บริการและส่งลูกหลานเข้ามาเรียนที่ศูนย์ฯ ทำให้เด็กเปิดโลกกว้างมากขึ้นและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมของศูนย์ฯมากกว่าเดิม
สำหรับผลการดำเนินโครงการศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2561 ( 31 มี.ค.2561) ในเรื่องของการให้ความรู้แรงงานครอบคลุมลูกเรือประมงและแรงงานประมงต่อเนื่อง 2,359 คน การให้บริการห้องพยาบาล มีลูกเรือประมงและแรงงานประมงต่อเนื่องใช้บริการ 888 คน กระจายกล่องยาลงเรือทั้งสิ้น 98 กล่อง ครอบคลุมแรงงานบนเรือที่รับกล่องยา 1,922 คน การรับเรื่องร้องเรียนจากแรงงาน 98 คน จัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ซึ่งโดยจัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง มีแรงงานเข้าร่วม 1,715 คน จำนวนลูกหลานแรงงานที่ใช้บริการในศูนย์จัดการเรียนการสอนรวม 59 คน
"ซีพีเอฟ" ในฐานะหน่วยงานภาคเอกชนที่ร่วมจัดตั้งศูนย์ฯ มุ่งมั่นขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานภาคประมงและครอบครัว และให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในปี 2561 มีโครงการต่อยอดกิจกรรมด้านศูนย์พยาบาล ด้วยการอบรมอาสาสมัครในเรือให้มีความเข้าใจการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานสำหรับลูกเรือประมง โครงการสำรวจแนวทางในการพัฒนาชีวิตครอบครัวแรงงานประมง จำนวน 50 ครอบครัว ซึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนท่าเทียบเรือประมงสงขลา เพื่อที่จะสามารถจัดการสมดุลชีวิตตัวเองและครอบครัวให้มีความสุข ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีได้
โครงการศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาธิบาลฯ กำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการ 5 ปี (ปี 2559 - 2563) ซึ่งปีนี้เข้าสู่ปีที่ 3 ของโครงการฯ นอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวตามหลักมนุษยธรรมและมาตรฐานสากลแลัว ยังช่วยครอบครัวแรงงานให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งผลสำเร็จของโครงการฯ จะเป็นต้นแบบในการขยายการดำเนินงานไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป