บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มอบเกียรติบัตร แก่ “คู่ค้าธุรกิจดีเด่น” ที่ร่วมสร้างคุณค่าในห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) พร้อมเดินหน้าพัฒนาคู่ค้ากว่า 200 รายใน 13 กลุ่มธุรกิจหลัก สร้างความมั่นคงทางธุรกิจและฐานการผลิตอาหารตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs)
นายพิสิฐ โอมพรนุวัฒน์ ประธานคณะทำงานบริหารความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นร่วมพัฒนาคู่ค้าธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นทางให้เติบโตไปด้วยกัน ภายใต้นโยบายการจัดหาอย่างยั่งยืนของซีพีเอฟ เพื่อร่วมกันดำเนินการผลิตด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมและเติบโตด้วยกันอย่างเข้มแข็ง โดยได้รับความร่วมมือของคู่ค้าธุรกิจ ครอบคลุม 4 ด้านหลัก (4 Ps) ประกอบด้วย การส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ (Product) 2. การปฏิบัติต่อบุคลากรอย่างเป็นธรรมตามสิทธิมนุษยชน (People) 3. การใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ (Process) และ 4. การดำเนินงานอย่างโปร่งใส (Performance)
ทั้งนี้ ซีพีเอฟได้จัดทำระบบตรวจประเมินตนเองด้านความยั่งยืนแบบออนไลน์ (Online Supplier Sustainability Self-Assessment) และได้รับความร่วมมือจากคู่ค้าธุรกิจในการประเมินเพื่อนำมาพัฒนากระบวนการผลิตและบริการให้สอดคล้องตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals) และในปีนี้ ซีพีเอฟได้มอบเกียรติบัตร “คู่ค้าธุรกิจดีเด่น” แก่ 12 คู่ค้า ที่ร่วมมือสร้างคุณค่าในห่วงโซ่อุปทาน ขับเคลื่อนสู่การผลิตที่สร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม
“เกียรติบัตรคู่ค้าธุรกิจดีเด่น เป็นการยกย่องและแสดงความขอบคุณคู่ค้าธุรกิจที่ร่วมมือกันพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายนโยบายการจัดหาอย่างยั่งยืนของซีพีเอฟ รวมทั้งเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้สู่คู่ค้าธุรกิจกว่า 200 รายการใน 13 กลุ่มธุรกิจหลักของซีพีเอฟ และกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการผลิตและยกระดับมาตรฐานห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรและอาหาร ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงทางอาหารและรักษาสมดุลธรรมชาติ” นายพิสิฐกล่าว
คู่ค้าธุรกิจดีเด่นทั้ง 12 องค์กร ประกอบด้วย คู่ค้ากลุ่มธุรกิจจัดหาวัตถุดิบ ได้แก่ บริษัท ทะเลไทย ขนส่ง 2 ที่โดดเด่นในการนำเทคโนโลยีสนับสนุนให้บุคลากรขององค์กรร่วมดูแลชุมชนและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บริษัท ท่าฉางสวนปาล์มนำมันอุตสาหกรรม เป็นผู้จัดหาน้ำมันปาล์มที่มาจากแหล่งปลูกถูกต้อง และส่งเสริมเกษตรกรปลูกปาล์มอย่างยั่งยืน บริษัท นอร์ทเทอร์น สยาม ซีดแลค จำกัด ผู้รวบรวมข้าวโพดอาหารสัตว์ที่มาจากแหล่งตรวจสอบได้ บริษัท ผลิตภัณฑ์หินเกล็ดไทย จำกัด ที่จัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์จากแหล่งเหมืองที่ผลิตอย่างยั่งยืน กลุ่มธุรกิจเครื่องปรุง ได้แก่ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง บริษัท เมอคิวรี่ เพทโทรล (1995) จำกัด บริษัท อายิเทรด จำกัด และกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ บริษัท กลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด (โรงงานระยอง) บริษัท กลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด (โรงงานสงขลา) บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด และ บริษัท เอ.เอ็น. บี. บรรจุภัณฑ์ จำกัด ซึ่งต่างเป็นผู้จัดหาเครื่องปรุงที่มีความโดดเด่นด้านการดูแลบุคลากร มีการจัดการด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และดูแลเกษตรกรเติบโตร่วมกัน
ด้าน นายมโนชญ์ แสงแก้ว ผู้ตรวจราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า แนะอุตสาหกรรมอาหารต้องดูแลทุกขั้นตอนของการผลิตตลอดห่วงโซ่ที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพิ่มความสามารถการแข่งขันในเวทีโลกการค้าในปัจจุบัน ที่ผู้บริโภคทั่วโลกคาดหวังภาคธุรกิจมีการผลิตอาหารทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำมีความรับผิดชอบ ร่วมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงาน ถูกนำมาเป็นข้อกำหนดและเงื่อนไขสำคัญในการเจรจาและการตกลงทางการค้าในเวทีการค้าโลก รวมถึงความคาดหวังของผู้บริโภคทั่วโลก กระทรวงแรงงานมีนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชน ร่วมกันยกระดับผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต มีความพร้อมในการดำเนินงานสอดคล้องตามมาตรฐานสากล รวมถึงปฎิบัติต่อแรงงานตามมาตรฐานแรงงานภายใต้กรอบขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้า และรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้
“ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะช่วยขับเคลื่อนผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตของซีพีเอฟมีความเป็นธรรม โปร่งใส และก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกคนในสังคมได้อย่างครอบคลุมและเท่าเทียมกัน ตอบโจทย์การเติบโตอย่างยั่งยืน และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์อาหารไทยในเวทีโลก” นายมโนชญ์กล่าว