นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขในปี พ.ศ.2553 ระบุว่า "โรคติดเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ" เป็นโรคติดเชื้อที่มีอันตรายร้ายแรง เนื่องจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาหลายชนิด ไม่มียารักษาและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต แต่ละปีมีคนไทยติดเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะมากกว่า 100,000 คน อยู่โรงพยาบาลนานขึ้น 3.24 ล้านวัน เสียชีวิต 38,481 ราย และประเทศสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการเจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากกว่าสี่หมื่นล้านบาท และปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชื้อในประเทศไทยดื้อยาอย่างรวดเร็วก็คือมีการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินความจำเป็นอย่างกว้างขวาง
การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินความจำเป็นเกิดขึ้นจากการจ่ายยาปฏิชีวนะ และ/หรือ ซื้อยาปฏิชีวนะรักษาทุกอาการอย่างพร่ำเพรื่อ ทั้งที่โดยหลักการไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะเกิน 20% ในโรคทั่วไปที่พบได้บ่อย เช่น โรคหวัด ไอ เจ็บคอ ท้องร่วงและอาหารเป็นพิษ แต่ในบ้านเรามีการจ่ายยาปฏิชีวนะในกลุ่มโรคดังกล่าวในโรงพยาบาลรัฐโดยเฉลี่ยสูงถึง 49-56% และในโรงพยาบาลเอกชนมีการจ่ายสูงถึง 80-90% ส่งผลให้โรคติดเชื้อแบคทีเรียรักษาด้วยยายากขึ้น
ขณะที่ผู้ป่วยหลายรายมักเป็นฝ่ายเรียกร้องให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจ่ายยาปฏิชีวนะทั้งด้วยคำพูดและการแสดงออก เป็นการบีบบังคับทางอ้อมให้ต้องจ่ายยาปฏิชีวนะ ด้วยความเชื่อผิดๆ ส่วนตัวที่ว่าต้องกินยาปฏิชีวนะจึงจะหายป่วย แม้กระทั่งบางรายขอกินยากันไว้ก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่เกิดอาการ รวมถึงคนไข้บางรายเมื่ออาการดีขึ้นก็หยุดรับประทานยาปฏิชีวนะทันที ทำให้ร่างกายได้รับยาไม่ครบโดส เหล่านี้ล้วนเป็นการใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อและใช้อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการดื้อยาในปัจจุบัน
ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เช่น แพทย์ เภสัชกร และผู้เกี่ยวข้องในแวดวงสาธารณสุข ตลอดจนภาคปศุสัตว์ผู้ผลิตเนื้อสัตว์เป็นอาหารต่างตระหนักดีถึงอันตรายดังกล่าว จึงได้เร่งหามาตรการป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ โดยเจาะลึกเข้าไปที่สาเหตุหลักของปัญหา นั่นคือการใช้ยามากเกินจำเป็นและเป็นที่มาของโครงการต่างๆ ภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการควบคุมและป้องกันการดื้อยาต้านจุลชีพ ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติซึ่งครอบคลุมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะทั้งในมนุษย์และในสัตว์...
ประเด็นที่น่าสนใจคือ...การรณรงค์ส่งเสริมเพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นนี้ กลับเห็นผลที่รวดเร็วและชัดเจนจากภาคปศุสัตว์ มากกว่าภาคสาธารณสุข ... เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?
ประการแรก : น่าจะเป็นความรวดเร็วและเข้มแข็งของหน่วยราชการต่างๆ ในกรมปศุสัตว์ที่มีการประชุมหารือในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง มีการดำเนินการแก้ไขทันทีที่พบปัญหา ตลอดจนออกกฎระเบียบกฎกระทรวงเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติอย่าง รวดเร็ว
จากอดีตที่อาจเคยได้ยินว่ามีการผสมยาปฏิชีวนะลงในอาหารสัตว์เพื่อช่วยเพิ่มน้ำหนัก แต่ในปัจจุบันกรมปศุสัตว์มีการออกกฎหมายที่เข้มงวด ห้ามมิให้มียาปฏิชีวนะเจือปนในอาหารสัตว์ โดยหากจะมีการใช้ยาปฏิชีวนะใดๆ ภายในฟาร์มจะต้องเป็นไปเพื่อ "รักษา" สัตว์ป่วย และต้องสั่งยาโดย "สัตวแพทย์" เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎระเบียบและกฎหมายต่างๆ ยังไม่สามารถครอบคลุมผู้ประกอบการได้ทั้ง 100%
ประการต่อมา : ภาคปศุสัตว์มีเงื่อนไขเชิงเศรษฐกิจเป็นแรงขับเคลื่อนอันทรงพลัง ด้วยมาตรฐานสากลของประเทศคู่ค้าของไทยมีความเข้มงวดในประเด็นสารตกค้างอย่างมาก ขณะที่บริษัทเอกชน ผู้ผลิตอาหารจากเนื้อสัตว์และสัตว์น้ำรายใหญ่เองก็ต้องการยกระดับสินค้าของตนเองให้เป็นมาตรฐานโลก จึงร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ในการดำเนินการตามข้อกำหนดต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งมาตรฐาน Food Safety ตอบสนองความต้องการของประเทศคู่ค้า หากไม่ทำย่อมกระทบคุณภาพสินค้าและการยอมรับของผู้บริโภค ซึ่งหาก ผู้บริโภคในประเทศเรียกร้องให้อาหารดังกล่าวปลอดจากสารเคมีและยาปฏิชีวนะด้วยมาตรฐานเดียวกันกับสินค้าส่งออกในทุกช่องทางการจำหน่ายด้วย ก็จะเป็นแรงผลักดันให้คนในประเทศได้บริโภคอาหารที่ปลอดจากสารตกค้างกันอย่างทั่วถึง
ความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้องในสาขาปศุสัตว์ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอย่างจริงจังเช่นนี้นี่เองที่ทำให้การป้องกันเชื้อดื้อยาของภาคปศุสัตว์ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แม้การรับประทานเนื้อสัตว์ที่มียาปฏิชีวนะตกค้างอาจทำให้เกิดอาการดื้อยาในมนุษย์ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นสาเหตุลำดับรอง และยิ่งในปัจจุบันมีระบบป้องกันยาปฏิชีวนะตกค้างในเนื้อสัตว์ที่มีประสิทธิภาพขึ้น ยิ่งทำให้ประเด็นนี้มีความน่ากังวลน้อยลง โดยเฉพาะในผู้ประกอบการที่มี ธรรมาภิบาลซึ่งคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ
ทว่า...ความตระหนักต่อปัญหาเชื้อดื้อยาของผู้รู้ในแวดวงสาธารณสุข กลับนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเชื่องช้าและขาดประสิทธิภาพดังจะเห็นได้จาก
ประการแรก : การขายยาปฏิชีวนะยังเป็นไปอย่างเสรีปราศจากการกำกับ ควบคุม แม้มีกฎหมายห้าม แต่ประชาชนยังสามารถซื้อยาปฏิชีวนะซึ่งเป็นยาอันตรายได้จากร้านชำในหมู่บ้าน
ประการต่อมา : ยังไม่มีภาคเอกชนใดที่เกิดความตระหนักรู้และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
ประการที่สาม : ยังขาดการลงทุนเพื่อช่วยให้แพทย์รักษาโรคติดเชื้อได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เช่น การเพาะเชื้อในห้องแล็บเพื่อจะเลือกใช้ยาให้ตรงกับเชื้อ ไม่ต้องสุ่มใช้ยาที่มีฤทธิ์กว้าง แต่โรงพยาบาลอีกนับร้อยแห่งในประเทศไทยกลับไม่มีห้องแล็บไว้รองรับ นอกจากนี้ยังขาดแรงผลักดันที่กระตุ้นให้เกิดการแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยาในมนุษย์อย่างจริงจัง เนื่องจากการทุพพลภาพและการเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาเป็นไปอย่างช้าๆ เงียบๆ ไม่เป็นข่าว ทำให้แรงบีบเชิงสุขภาพยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้เกิดความตระหนักและลงมือปฏิบัติ ต่างจากการติดเชื้ออีโบล่า ซาร์ส หรือเมอร์ส ที่มีการแพร่กระจายในผู้ป่วยจำนวนมากให้เห็นชัดๆ และมีรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญ ยังไม่มีแรงจูงใจหรือแรงขับเคลื่อนในเชิงเศรษฐกิจเข้ามาเป็นตัวบังคับอย่างเช่นที่ภาคปศุสัตว์มี ทำให้ความกระตือ รือร้นของผู้มีอำนาจและผู้ที่จะช่วยผลักดันให้โครงการสัมฤทธิผล มีไม่เพียงพอ การป้องกันเรื่องเชื้อดื้อยาในมนุษย์จึงเห็นผลค่อนข้างน้อย...
ดูไปการแก้ไขปัญหาเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะในมนุษย์ ก็อาจจะไม่ต่างกับเรื่องมาตรฐานของกรมการบินพลเรือนที่ไม่มีคนสนใจมานาน กระทั่งมีแรงบีบจากภายนอกเข้ามา จึงส่งผลให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบการท่องเที่ยว กระทบจีดีพี และกระตุ้นให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างที่เห็น...
น่าแปลกไหม? ที่คนเราจะมีแอ๊กชั่นได้ต้องมีแรงบีบทาง "เศรษฐกิจ" เท่านั้น ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่อง "สุขภาพ" ของพวกเราเอง
อย่างไรก็ตาม บุคคลที่อยู่ในวิชาชีพสาธารณสุขควรต้องเป็นคนจุดประกาย โดยเริ่มทำในสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยการลด-ละ-เลิกการจ่ายยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ พร้อมที่จะให้ความรู้แก่ประชาชน ไม่ละเลยที่จะอธิบายเพื่อชี้ให้เขาเห็นว่าควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น และโรคในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่แล้วไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา ต้องช่วยลบความเชื่อเดิมๆ ว่ายาปฏิชีวนะรักษาได้ทุกอาการให้หมดไป
รวมทั้งหยุดเรียกยาปฏิชีวนะว่า "ยาแก้อักเสบ" ...แค่นี้ก็อาจจะทำให้พอมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในการป้องกันเชื้อดื้อยาในมนุษย์ได้บ้าง
ขอบคุณ มติชน